ขออนุญาตสรุป ‘ข้อจำกัด ของการวิเคราะห์งบการเงิน (Limitations of Financial Statement Analysis)’

จากหนังสือ การวิเคราะห์รายงานทางการเงิน (Financial Report Analysis) เขียนโดย รศ.วันเพ็ญ วศินารมณ์ ด้วยสำนวนของผม มานำเสนอนะครับ

การวิเคราะห์รายงานทางการเงิน โดยใช้เครื่องมือทั้ง 3 ประเภท ได้แก่ Horizontal Analysis , Vertical หรือ Common-Size Analysis , Ratio Analysis มีข้อจำกัดดังนี้

1.Estimates

ตัวเลขในงบฯหลายรายการเกิดจากการประมาณการ เช่น การประมาณหนี้ที่คาดว่าจะเก็บเงินไม่ได้ การคิดค่าเสื่อมราคา การประมาณการค่าใช้จ่ายและหนี้สินที่เกิดจากการประกันสินค้า เป็นต้น ถ้าการประมาณการไม่ถูกต้อง จะทำให้ตัวเลขในงบการเงินไม่ถูกต้อง และผลการวิเคราะห์ก็จะไม่ถูกต้อง

2.Atypical Data

บางกิจการมีการปิดบัญชีช่วงฤดูกาลที่ขายดี ทำให้สินทรัพย์และหนี้สินมากหรือน้อยกว่าโดยเฉลี่ยทั้งปี

3.Cost

ตัวเลขในงบการเงินจะใช้ราคาทุน ดังนั้นการเปรียบเทียบงบการเงินที่ไม่ได้ปรับอัตราเงินเฟ้อทำให้ตีความผิดได้ เช่น เปรียบเทียบยอดขาย 2 ปี พบว่ามีอัตราการเพิ่มของยอดขาย 5% ถ้าอัตราการเงินเฟ้อ 5% แสดงว่ากิจการมิได้เติบโตเลย หรือการเปรียบเทียบมูลค่าสินทรัพย์2ชิ้น ที่ซื้อในเวลาที่ต่างกัน อาจตีความผิดได้

4.Diversification

ธุรกิจขนาดใหญ่ จะประกอบธุรกิจที่แตกต่างกันอย่างมาก ทำให้หาธุรกิจที่คล้ายกันเพื่อเปรียบเทียบได้ยาก ในUSA บริษัท Pepsi ประกอบธุรกิจขายน้ำอัดลม และร้านอาหาร เช่น Pizza Hut , Kentucky Fried Chicken ขณะที่บริษัท Coke ประกอบธุรกิจขายน้ำอัดลม และผลิตขวด

สำหรับในไทย SCCC ทำธุรกิจปูนซีเมนต์อย่างเดียวไม่ควรนำไปเปรียบเทียบกับ SCC ซึ่งประกอบธุรกิจปูนซีเมนต์คิดเป็นรายได้เพียงประมาณร้อยละ20ของรายได้รวม แต่ประกอบธุรกิจปิโตรเคมี และกระดาษด้วย

5.Alternative Accounting Methods

เนื่องจากวิธีปฏิบัติทางบัญชีที่ต่างกัน ทำให้กำไรที่รายงานออกมามีคุณภาพที่แตกต่างกันด้วย , มีหลักการบัญชีสำหรับการวัดมูลค่าหรือการนำเสนอหลายวิธี สำหรับเหตุการณ์อย่างเดียวกัน ผู้บริหารมักเลือกหลักการบัญชีที่เป็นประโยชน์กับตัวเลขกำไร ตนเอง หรือกิจการ ส่งผลให้ตัวเลขสินทรัพย์ หนี้สิน รายได้ และค่าใช้จ่าย แตกต่างกัน เช่น การเลือกคิดค่าเสื่อมราคาว่าจะคิดแบบเส้นตรงซะทุกรายการ หรือคิดให้สอดคล้องกับความจริงหากต้องขายสินทรัพย์ที่มีมูลค่ามากอย่างมีนัยสำคัญ , การวิเคราะห์ความสามารถในการทำกำไร เพื่อศึกษาว่ากิจการมีผลการดำเนินการอย่างไร ในภาวะเศรษฐกิจรุ่งเรือง และในภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ หรือไม่ว่าจะเป็นการที่รายได้เติบโต แต่กำไรไม่เพิ่มอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นควรดูว่ากิจการยังรักษาอัตรากำไรไว้ได้หรือไม่ การศึกษาแนวโน้มของรายได้ และกำไรย้อนหลังไปหลายๆปีจะทำให้เห็นภาพวัฏจักรของธุรกิจและความสม่ำเสมอในการหากำไร , ควรไปอ่านหลักการบัญชีที่ผู้บริหารเลือกใช้ในหมายเหตุประกอบงบฯ แน่นอนห้ามพลาดการอ่านรายงานผู้สอบบัญชีด้วยเพราะถือเป็น ‘the must‘ อ่านเพื่อให้รู้ว่ามีสัญญาณที่ผู้สอบได้กลิ่นตุๆหรือไม่ ปล.ถ้าผู้สอบบอกว่าหาสิ่งผิดปกติไม่เจอ ก็ไม่ได้แปลว่าไม่มีขยะซ่อนอยู่ใต้พรมนะ หุหุ

6.เหตุ ที่กระทบต่อความสามารถในการหากำไร และความอยู่รอดของธุรกิจ อาจไม่แสดงในงบการเงิน

เช่น ข้อมูลบอกว่า market share ลดติดกันมาหลายไตรมาสแล้ว และมีแนวโน้มลดลงต่อไป , ทะเลาะกับลูกค้า , การเปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมผู้บริโภค , การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี , การเปลี่ยนระบบบริหาร , การเปลี่ยนแปลงทางกฎหมายระเบียบข้อบังคับกติกาในการค้า , การที่สินค้าทดแทนกำลังมาแรง , การยกเลิกส่วนงาน ข้อมูลเหล่านี้อาจไม่แสดงอยู่ในรายงานประจำปีเลยก็เป็นได้

7.Lagging Indicator

การวิเคราะห์งบการเงิน เป็นการวเคราะห์สิ่งที่เกิดขึ้นในอดีต เพื่อนำผลของการวิเคราะห์ไปช่วยพยากรณ์อนาคต อย่างไรก็ตามสิ่งที่จะเกิดในอนาคตอาจต่างไปจากอดีต

8.Account Classification Differences

กิจการมักจะจัดประเภทของรายการที่แสดงในงบการเงินแตกต่างกัน เช่น กิจการอาจแสดงค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายเป็นรายการในงบกำไรขาดทุน แต่บางกิจการอาจรวมค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายเป็นรายการในต้นทุนของสินค้าขายและค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร ทำให้การเปรียบเทียบอัตราส่วนระหว่างกิจการไม่ถูกต้อง ซึ่งผู้วิเคราห์ควรปรับงบการเงินที่จะนำมาเปรียบเทียบให้มีการจัดประเภทเหมือนกันก่อน และถ้าไม่สามารถจัดประเภทให้เหมือนกันได้ ก็ต้องเตือนตัวเองอยู่เสมอในการวิเคราะห์


ผมขออนุญาตสรุป case study จากหนังสือ ‘กลโกง สะท้านโลก’ เขียนโดย ไตรทิพย์ ศิวะกฤษณ์กุล ด้วยสำนวนของผม มาเล่าให้ฟังนะครับ

 

ถ้าไม่อยากถูกฮุบกิจการ พึงระวังอย่าให้เกิดปัญหาสภาพคล่อง จนเจ้าหนี้ต้องเข้ามาควบคุมการทำงาน ที่สำคัญตรวจสอบสถานะการถือหุ้นอยู่เป็นประจำ

ขอเล่าในรูปแบบ ตามลำดับเวลา จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนไปหลัง (time line) นะครับ..

‘ENRON’ ได้รับการลงคะแนนจาก Fortune ให้เป็นบริษัทที่ล้ำหน้าที่สุด 6 ปีติดและในปี 2000 ถูกจัดให้เป็นบริษัทใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 7 ใน Fortune 500

จากนั้น เดือนธันวาคม 2001 ENRON ก็ได้ยื่นขอความคุ้มครองจากศาลในฐานะเป็นบริษัทที่มีหนี้สินล้นพ้นตัวที่ใหญ่ที่สุด ในประวัติศาสตร์อเมริกา

ผู้บริหารระดับสูงของ ENRON บริหารธุรกิจโดยใช้กลยุทธ์ ‘ลดทรัพย์สิน (Asset Light)’ โดยกระจายทรัพย์สินไปในบริษัทลูก เพื่อให้กู้เงินเพิ่มได้

ความสำเร็จกลยุทธ์ ‘Asset Light’ ขึ้นกับความน่าเชื่อถือของบริษัท โดย ENRONตั้งบริษัทในเครือขึ้นมามากมาย และมีการโยกย้ายทรัพย์สินออกไปนอกบัญชี

ความที่บริษัทมีหนี้เพิ่มขึ้นมาก ผู้บริหารระดับสูงจึงได้สร้างบริษัทในเครือเพิ่มขึ้นและซับซ้อนขึ้น

เพื่อกระจายภาระหนี้ออกไป และทำให้ทรัพย์สินที่มีอยู่ดูมากมายผ่านการนับซ้ำหลายครั้ง

ในปี 2000 ธุรกิจเติบโตเป็นทวีคูณ ราคาหุ้นขึ้นสูงถึงหุ้นละ 90 $ ปีเดียวกันรายได้ของ ENRON ลดลงอย่างมาก

ต่อมา ENRON ได้ยื่นเรื่องกับกลต.USA ว่าจะแก้ไขบัญชีงบการเงินของบริษัท ในเดือนนั้นมีบริษัทตกลงที่จะซื้อ ENRON ในราคาหนึ่งหมื่นล้าน$

แต่ก็ยกเลิกไป เพราะหลังตรวจสอบสถานะแล้ว พบหนี้และตัวเลขทางบัญชีที่ไม่แน่นอนอีกมหาศาล ราคาหุ้นจึงลดฮวบเหลือหุ้นละ 1 $

case ENRON จบด้วยหุ้นดิ่งจาก 90 เหลือ 1 $ เข้าสู่กระบวนการล้มละลายท้ายที่สุด

                                     o(^▽^)o <<  จบ case แรก ครับ

 

case 2 ‘ ปิคนิค ‘ ย้อนตำนานเอ็นรอน

จากการลงทุน และกระจายทรัพย์สินของปิคนิค ทำให้นึกถึงทฤษฎี Asset Light ของเอ็นรอน ที่กระจายทรัพย์สินไปบ.ในเครือ ขณะหนี้สินก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

กลต.กล่าวโทษผู้บริหารว่าทำผิด 2 กรณี 1ตกแต่งบัญชี ให้มีกำไรเพิ่ม และซื้อก๊าซจากโรงบรรจุก๊าซ 10 แห่ง ที่มีความสัมพันธ์กับปิคนิค ในราคาแพงเว่อร์

2ร่วมลงนามกู้ยืมเงิน 460 ล้านบาท แล้วมีเงิน 85 ล้านบาทเข้าบัญชีส่วนตัวของผู้บริหาร เข้าข่ายยอกทรัพย์

จากการสอบทานข้อมูลทางการเงิน พบว่าแผนกบัญชีของกลุ่มบริษัทโรงบรรจุก๊าซทั้ง 10 แห่ง อยู่ที่บ้านผู้ถือหุ้นหลัก!! และไม่เคยมีการกระทบยอดเลย

บริษัทโรงบรรจุก๊าซยังนำถังก๊าซไปให้ลูกค้ายืม โดยไม่มีการเก็บเงินมัดจำ นอกจากนั้น ยังไม่สามารถยืนยันจากลูกค้าว่ามีตัวตนอยู่จริงได้

ผู้สอบบัญชีตั้งข้อสังเกตว่า มีการสั่งการให้บริษัทในเครือทำธุรกรรมที่จะมีผลในการสร้างกำไรให้แก่ปิคนิค

                                                          ヘ(^_^ヘ)    (ノ^_^)ノ

 

case 3 ‘เอกธนกิจ’ บทเรียนกลเกมการเงิน

เมื่อมองย้อนกลับไปชวนให้สงสัยว่า เหตุใดจึงไม่มีใครสงสัยว่าตัวเลขกำไรของบริษัทที่สูงลิ่ว มีแหล่งที่มาอย่างไร

 ไม่ว่าจะเป็นนักวิเคราะห์ ผู้กำกับดูแล จนกระทั่งปัญหาบานปลายสายเกินแก้

บริษัทเงินทุนเอกธนกิจ เริ่มต้นจากบริษัทเงินทุนขนาดเล็กมีทุนจดทะเบียนเพียง 10 ล้านบาทในปี 2524

ได้มีการขยายกิจการอย่างรวดเร็ว โดยระดมทุนจากผู้ถือหุ้นใหม่ ไม่ว่าจะเป็นKBANK กลุ่มCP และBNP paribas

จนกระทั่งปี 2537 บริษัทมีทุนจดทะเบียนสูงถึง 5,400 ล้านบาท กลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจคือ การสร้างภาพว่าเป็น Investment Banker มืออาชีพ

ที่เก่งด้านซื้อสินทรัพย์ที่มีราคาต่ำกว่าจริง เพื่อนำมาฟื้นฟู แล้วขายในราคาที่มีกำไร

เอกธนกิจได้เข้าซื้อบริษัทผลิตยางยืด และเปลี่ยนบ.ดังกล่าวให้เป็นบริษัทโฮลดิ้ง ที่จะเข้าไปถือหุ้นในธุรกิจทุกประเภทได้

บ.โฮลดิ้งกลายเป็นช่องทางของบริษัทในเครือในการถ่ายเทกำไร และปล่อยเงินกู้ระหว่างธุรกิจในเครือด้วยกันเอง

อาณาจักรธุรกิจของกลุ่มเอกธนกิจเริ่มสั่นคลอน เมื่อเศรษฐกิจเริ่มถดถอยช่วงปลายปี2539 โดยNPLในธุรกิจเช่าซื้อเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว

ขณะราคาสินทรัพย์ที่ถือก็ดิ่งตามดัชนีหลักทรัพย์ ซ้ำเติมด้วยรายได้จากค่า brokerage fee ก็หดตัวอย่างรวดเร็ว

บริษัทประสบภาวะขาดสภาพคล่องและขาดทุนสูงกว่า 1 หมื่นล้านบาท ทรุดหนักยิ่งขึ้นเมื่อรัฐลอยตัวค่าเงินบาท ทำให้หนี้ตปท.เพิ่ม

ธนาคารแห่งประเทศไทยปฏิเสธที่จะอัดฉีดเงินเพิ่ม หลังจากให้ไปแล้ว4หมื่นล้านบาท

ปี39ผู้ฝากเงินแห่กันถอนเงินหลังข่าวลือบริษัทจะล้ม ทำให้หนี้รวมเพิ่มขึ้นเป็น8หมื่นล้านบาท

ในที่สุดบริษัทก็ถูกปิดกิจการ หลังแผนระดมทุนล้มเหลว ** ก็จะไม่ให้ล้มเหลวได้ไง งานนี้กรรมการและผู้บริหารเล่นทิ้งหุ้นตั้งแต่ก่อนประกาศเพิ่มทุน

แสดงให้เห็นว่าคนวงในเองก็ขาดความเชื่อมั่นในบริษัทเงินทุนเอกธนกิจ และยังมีกรรมการและผู้บริหารบางรายถูกปรับข้อหา insider trading ด้วย

นี่คือจุดเริ่มต้นของการสั่งปิดบริษัทเงินทุน 56 แห่ง ในปี 41 ยังปิดบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์อีก 7 แห่ง

                                                  (╭ ̄3 ̄)╭♡(・ε・)ノ  (◍′◡‵◍)

 

case 4 ‘ Worldcom ‘

เคสนี้คล้ายกะ Enron มีประเด็นน่าสนตรง สัญญาณเตือนภัย ที่นักลงทุนควรอ่านให้ออก..

พอผู้สอบบัญชีตรวจพบว่า มีการบันทึกบัญชีผิด จาก’ค่าใช้จ่าย’ ดันไปบันทึกเป็น ‘เงินลงทุน’

ก็ได้แจ้งให้กรรมการตรวจสอบของบริษัททราบ และชี้แจงว่างบการเงินในปี 2001 นั้น อาจเชื่อถือไม่ได้

**ผลที่ได้รับคือ บริษัทเปลี่ยนผู้สอบบัญชีใหม่ทันที !!

              ┌(^_^)┘♪└(^_^)┐ ( ‘⌣’)人(‘⌣’ )

 

case สุดท้าย พูดถึงการซื้อกระดาษ และ ฝันสลายของวัยเกษียณ (ออกแนวโหดร้าย).. ‘เอควิเทเบิ้ล ไลฟ์ ประกันชีวิต’

‘ความหายนะที่ผู้เอาประกันจำนวนมากต้องประสบ เกิดจากกรมธรรม์ที่ถูกออกแบบขึ้นเพื่อดังดูดให้ลูกค้าสนใจซื้อ

โดยไม่คำนึงว่ามีเงินทุนเพียงพอจ่ายผลประโยชน์ให้ผู้เอาประกันหรือไม่ ‘

อควิเทเบิ้ล ไลฟ์ เคยเป็นบริษัทประกันชีวิตที่เก่าแก่ที่สุดในโลก มีอายุกว่า 240 ปี

ต่อมาผู้บริหารได้ออกกรมธรรม์แบบใหม่โดยสัญญากับผู้เอาประกันจำนวนมาก ว่าจะจ่ายเงินปันผลในจำนวนที่สูงเกินไป

หลังจากปลายยุคปี80 บริษัทยอมรับกับผู้เอาประกันว่า บริษัทมีหนี้สินต่อผู้เอาประกันสูงกว่าสินทรัพย์ของบริษัทถึงกว่า3พันล้านปอนด์

และก่อนปี2001 เพิ่มสูงขึ้นถึง 4 พันล้านปอนด์ ทำให้บริษัทเกือบล้มละลายเนื่องจากไม่สามารถจ่ายเงินให้ผู้ถือเอาประกันได้

ผู้ถือกรมธรรม์ต้องพบกับสภาพที่กรมธรรม์ของตนเองมีมูลค่าลดลงมากที่สุดถึง 40%

* โดยบริษัทเอควิเทเบิ้ล ไลฟ์ได้กล่าวโทษ Ernst & Young ว่าออกงบการเงินโดยไม่เตือนถึงปัญหาที่นำไปสู่การล้มละลาย

ทางฝั่ง Ernst & Young โต้กลับว่า ไม่สามารถรายงานต่อบริษัทในสิ่งที่ผู้สอบบัญชีเองไม่รู้มาก่อน

และ ไม่มีข้อมูลใดๆที่เรารู้ แต่คณะกรรมการไม่รู้มาก่อน

เคสนี้น่าส่งสารมากเพราะความเสียหายเกิดกับผู้เกษียณอายุ และค่าเสียหายที่เรียกร้องนั้น

เป็นจำนวนสูงสุดที่เคยมีการเรียกร้องต่อบุคคลหรือผู้ตรวจสอบบัญชี ในประวัติศาสตร์ประเทศอังกฤษ

                                                   – จบแว้ว –


              จ๊อบส์บอกว่า ชีวิตของเขาไม่มีแต้มต่อและค่อนข้างจะอยู่ในแดนลบมาตั้งแต่เกิด เขาเป็นเด็กที่มีปัญหาในชีวิต เขาถือกำเนิดมาจากแม่ที่ใจแตกที่ท้องขณะที่เรียนและไม่มีปัญญาเลี้ยงดูเขา ต้องยกให้คนอื่นเลี้ยงโดยมีสัญญาเพียงว่า ต้องส่งให้เขาเรียนจนจบปริญญาตรี แต่ท้ายสุดเขาก็เรียนไม่จบ เพราะพ่อแม่บุญธรรมนั้นเงินหมดเสียก่อน

               แต่การเกิดมาท่ามกลางความลำบาก เหตุผลของมันน้อยเกินไปที่จะล้มเลิกความฝันและความศรัทธาที่จะต่อสู้ชีวิต(..อ่านมาถึงตรงนี้ผมขนลุกชูชัน มิใช่เพราะปวดปัสสาวะ แต่เพราะมันกิน♡เสียนี่กระไร) แม้ว่าเขาต้องไปอาศัยเพื่อน เก็บกระป๋องน้ำอัดลมขาย ไปเข้าคิวรับอาหารบริจาค มีความลำบากมากมายในชีวิต แต่เขาเชื่ออยู่เสมอว่า เขายังดีกว่าคนอื่นมากมายนักและสู้ได้สบายกับโลกใบนี้

จาก หนังสือนิรนาม(จริงๆมีชื่อครับ แต่ผมลืมชื่อ เพราะลอกมาด้วยการถ่ายรูป:)ในห้องสมุดมารวย

รู้จักสู้ – รู้ทันถอย

Posted: พฤศจิกายน 12, 2010 in investment

การเคลื่อนพลนั้น หากมิได้เปรียบ อย่าเคลื่อน

การใช้ไพร่พลนั้น หากมิได้ประโยชน์ อย่าใช้

การออกรบนั้น หากมิตกอยู่ในวิกฤต ก็อย่ารบ

                              ตำราพิชัยสงครามซุนวู ว่าด้วยเรื่องการจู่โจม

จงลงมือเมื่อได้ประโยชน์ และหยุดนิ่งเมื่อไม่ได้ประโยชน์ นี่เป็นคำกล่าวในตำราพิชัยยุทธ์ของซุนวู ซึ่งกล่าวย้ำไว้ถึงสองครั้ง คำกล่าวนี้แสดงให้เห็นถึงความรอบคอบของหลักการทำสงครามของซุนวู หลักการข้อนี้นำมาปรับใช้ได้ในชีวิตหรือแม้กระทั่งแวดวงธุรกิจ นั่นคือ ‘ พึงแข่งขันยามจำเป็นเท่านั้น ’

การแข่งขันเป็นเพียงองค์ประกอบหนึ่ง มิใช่เป้าหมายแห่งการอยู่รอดและพัฒนา การใช้การแข่งขันเฉพาะคราวจำเป็น หมายถึง การศึกษาจุดแข็งจุดอ่อนของคู่แข่ง ผิดกับการแข่งขันที่ไร้เหตุผล ไร้กฎเกณฑ์ ขาดสติยั้งคิด ซึ่งเสมือนการเข้าไปเสี่ยงภัยอย่างขาดสติ    การแข่งขันมากเกินไปจะทำลายทุกฝ่ายรวมถึงตนเอง สิ้นเปลืองทรัพยากรในสังคม ดังนั้นควรจำกัดการแข่งขันไว้ และหลบลีกเลี่ยงความขัดแย้งที่ไม่จำเป็น ส่วนถ้าเลี่ยงการแข่งขันไม่ได้ ก็ควรเลือกสภาพแวดล้อมในการแข่งขันที่ได้เปรียบและเลือกคู่แข่งอย่างรอบคอบ (อย่าขัดแย้งกับใครให้มากไปนะ!)

กรณีศึกษาที่1 การแข่งขันแบบไม่ดูตาม้าตาเรือ ย่อมนำไปสู่ความล้มเหลว

โรเบิร์ต แคมโพ เคยรวยที่สุดในแคนาดา เขามีชื่อเสียงในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ บริษัทแคมโพ ทำธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์มานานกว่า 40 ปี  ในช่วงทศวรรษ 1970 บริษัทได้ขยายกิจการและกู้เงินธนาคารหลายแห่งเพื่อซื้อที่ดินใจกลางเมืองแมนฮัตตันในนิวยอร์ก  ในปี 1988 โรเบิร์ต แคมโพ ยังคงขยายกิจการโดยเข้าไปซื้อห้างสรรพสินค้า Macy เพื่อควบคุมกิจการ Federated Department Store Inc.  ในที่สุดเขาก็ได้เป็นเจ้าของด้วยเงินที่ใช้ในการซื้อถึง 6.5 พันล้านดอลลาร์ และกลายเป็นเจ้าของห้างสรรพสินค้าที่ใหญ่ที่สุด แต่ทว่า.. การใช้เงินนี้ทำให้เงินทุนของแคมโพหมดไปมาก และทำให้มีปัญหาด้านการเงิน การซื้อกิจการทำให้บริษัทเป็นหนี้มหาศาล ในปี 1989 เขาจึงขายห้างสรรพสินค้า 1 ใน 2 แห่งให้กลุ่มบริษัทค้าปลีกชาวญี่ปุ่น บริษัทญี่ปุ่นรู้สถาณการณ์ของแคมโพ จึงกดราคาต่ำมาก โรเบริ์ต แคมโพ ไม่สามารถรับเงื่อนไขนั้นได้ ที่สุดเข้าถูกศาลสั่งให้เป็นบุคคลล้มละลาย สุดท้ายโรเบิร์ต แคมโพ เป็นหนี้มากกว่าหมื่นล้านดอลลาร์ เขาขายบริษัททั้งหมดรวมกับทรัพย์สินส่วนตัว แต่ก็ยังขาดเงินอีก1พันล้านเหรียญสหรัฐ  การที่โรเบิร์ต แคมโพ ย้ายมาทำธุรกิจค้าปลีกที่ไม่คุ้นเคยโดยไม่ได้เรียนรู้ธุรกิจนั้นอย่างดี ทำให้เขาสูญเสียอาณาจักรอสังหาริมทรัพย์ทั้งหมดที่มี

กรณีศึกษาที่2 ถลำพลาดเหมือนจรวดพุ่งดิ่งลง เพราะความไม่รู้จริงเป็นเหตุ

ในช่วงทศวรรษปี 1970 ตลาดผลิตรถจักรยานยนต์ของญี่ปุ่นมีเพียง 4 ราย คือ ฮอนด้า ยามาฮ่า ซูซูกิ และคาวาซากิ ในบริษัททั้ง 4 นี้ ฮอนด้าเป็นผู้ผลิตรายใหญ่ที่สุดและมีส่วนแบ่งตลาดถึง 85%  เริ่มต้นปี 1970 ฮอนด้าตัดสินใจผลิตรถยนต์ขนาด4-7 ที่นั่งจึงลงทุนทั้งด้านเทคโนโลยีและอุปกรณ์การผลิต  ปี 1975 ยอดขายรถยนต์สูงกว่ายอดขายรถจักรยานยนต์ ขณะที่ฮอนด้ามุ่งพัฒนาตลาดรถยนต์ ยามาฮ่าซึ่งใหญ่เป็นที่ 2 ถือโอกาสนี้ตีตลาดจนยอดขายใกล้เคียงฮอนด้า ในปี1981ยามาฮ่าลงทุนสร้างโรงงานผลิตจักรยานยนต์จนมีกำลังการผลิตถึง1ล้านคัน ฮอนด้าเป็นผู้นำตลาดรถในญี่ปุ่นและมีฐานะการเงินมั่นคง ฮอนด้าซึ่งมีเทคโนโลยีการผลิตรถสูงกว่าได้ตอบโต้และสั่งสอนยามาฮ่าก่อนที่โรงงานใหม่ของยามาฮ่าจะสร้างเสร็จ นี่เป็นประวัติศาสตร์การแข่งขันทางธุรกิจในญี่ปุ่นที่นับว่าแข่งกันอย่างเอาเป็นเอาตายกันไปข้างหนึ่งทีเดียว ฮอนด้าเริ่มเล่นสงครามราคา ในช่วงการแข่งขันที่รุนแรงมากที่สุดฮอนด้าขายรถจักรยานยนต์ขนาด 50 ลิตร ถูกกว่าราคารถจักรยาน 10 เกียร์เสียอีก นอกจากธุรกิจจักรยานยนต์แล้ว ฮอนด้ายังมีธุรกิจรถยนต์เป็นตัวสนับสนุนด้านการเงินให้กับการทำสงครามราคาในตลาดรถจักรยานยนต์ได้ ผิดกับยามาฮ่าที่มีรายได้จาการขายรถจักรยานยนต์เพียงอย่างเดียว ยามาฮ่าจึงเสียเปรียบด้านเงินทุนและต้นทุนอย่างเห็นได้ชัด ฮอนด้ายังใช้กลยุทธ์เพิ่มรูปแบบของสินค้าและทำให้แต่ละรุ่นมีช่วงชีวิตสั้นลง ภายใน 8 เดือนฮอนด้าผลิตจักรยานยนต์มา 81 รุ่น ขณะที่ยามาฮ่ามีเพียง 34 รุ่น การเสียเปรียบด้านต้นทุนและการออกแบบที่ตามไม่ทันคู่แข่งฉุดยอดขายดิ่งลง ปลายปี 1982 ยามาฮ่าเป็นหนี้ถึงสองแสนล้านเยน ธนาคารงดให้เงินกู้ สินค้าคงเหลือก็มีอยู่กองพะเนิน  ในปี 1983 นายโคกิเอะ ประธานบริษัทของยามาฮ่าถูกปลดออกจากตำแหน่ง สงครามยาวนาน 18 เดือนจบลงด้วยความพ่ายแพ้ของยามาฮ่า

‘ความรอบคอบเป็นสิ่งสำคัญทั้งก่อนตัดสินใจเข้าแข่งและขณะลงแข่ง การแข่งขันที่สมเหตุสมผลเกิดจากความเข้าใจคู่ต่อสู้ ส่วนการแข่งขันอย่างคนตาบอดและไร้สติ ย่อมนำมาซึ่งความปวดร้าว’

ดัดแปลงจาก สุดยอดพิชัยสงครามการค้า เขียนโดย Wang Xuanming


สิ่งสวยงามที่ผมตกผลึกได้ จากตอนจบของหนังเกี่ยวกับการพนัน 4 เรื่อง อันได้แก่ Wall Streets 2, Boiler room, Deal:the game is on และ 2forMoney  คือ “นักพนันมักเผลอ เอาความรักจากคนรอบข้างมาเป็นเดิมพันในการพนัน โดยหวังว่าหากได้เงินก้อนโตจะถือเป็นการชดเชยได้

แต่.. เคยคิดบ้างหรือไม่ว่าเวลาเป็นสิ่งที่ล้ำค่าที่สุด หากคนที่เรารักด่วนจากไปเสียก่อนวันที่เรารวยล่ะ ใครจะรู้สึกผิดไปตลอดชีวิต มาดแม้นว่า(ใช้คำอลังฯ เผื่อง่วง จะได้ตื่น)คนที่เรารักยังไม่จากไป ขณะที่ถลำลึกลงไปเรื่อยๆ ♡ของนักพนันก็ได้เปลี่ยนไป กลายเป็นคนใหม่ที่อารมณ์ร้อน โมโหร้าย ฉุนเฉียวง่าย … หากเป็นเช่นนี้ คนรอบข้างแม้ตัวอยู่ใกล้ ก็เสมือนค่อยๆไกลห่างออกไปเรื่อยๆ”  (จบห้วนไปไหมเนี่ย:)


ความงมงายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของชีวิตคือ ความเข้าใจว่า “ชีวิตตูไม่น่ามีปัญหาเลย!!”

ปัญหาต่างๆจะหมดไป เพียงแค่..คุณโทรมาภายใน30นาทีนี้ ไม่ใช่สิ เพียงแค่คุณมีปัญหาที่ใหญ่กว่า(ซึ่งแปลว่าคุณมีโอกาสที่จะประสบความสำเร็จในชีวิตสูงขึ้นอีกขั้นนึง)

หลายครั้งการจัดการที่ดีคือ “การไม่จัดการ”

ตัวตนคนต้องดูกันตอน”เผลอ”

รับผิดชอบตั้งแต่เริ่มต้นคือความสนุก รับผิดชอบเฉพาะตอนท้ายคือภาระ

\(♥.♥)/ ไม่ว่าคุณจะยอมรับว่าเป็นต้นเหตุในชีวิตของคุณหรือไม่ คุณก็เป็นต้นเหตุอยู่ดี

ประเด็นอยู่ที่”ความรู้สึก”ต่อปัญหา  มิใช่อยู่ที่ความยากลำบากของปัญหา

หากเราต่างเคยเป็น “คนธรรมดา..ที่ทำตัวไม่ธรรมดา” ถึงเวลาหรือยังที่จะเปลี่ยนเป็น “คนไม่ธรรมดา..ที่ทำตัวธรรมดา”


” สุขสบายเกินไป..เส้นสายก็พลอยหย่อนยาน จิตใจก็พลอยขลาดกลัว”-หูหลินอี้

” พูดน้อย กลุ้มน้อย ตัณหาน้อย นอนน้อย…….ถ้าสี่อย่างนี้น้อย ก็ใกล้จะเป็นเซียนแล้ว” -ซุนซือเหมี่ยว

” คนที่เชื่อมั่นในตนเองมากเกินไป…เป็นคนที่โดดเดี่ยวอ้างว้างที่สุด!” -ลู่ซู

” พูดน้อย กลุ้มน้อย ตัณหาน้อย นอนน้อย…….ถ้าสี่อย่างนี้น้อย ก็ใกล้จะเป็นเซียนแล้ว” -ซุนซือเหมี่ยว

” ความอิจฉา เป็นอุปสรรคต่อมิตรภาพ…ความระแวงสงสัย..เป็นศัตรูตัวร้ายกาจของความรัก…… -ซุนยาง

” ยามมีควรคิดถึงความจน…….ยามจนไม่ควรคิดถึงยามมี..! -เจิงก่วงเสียนเหวิน

” รู้เหตุผลไม่อับจน รู้กาละไม่ถูกด่า รู้ประหยัดไม่ขัดสน ” -ซูลิน

” ใช้จิตใจที่ชอบตำหนิผู้อื่น…มาตำหนิตัวเอง…..ใช้จิตใจที่ชอบให้อภัยตัวเอง…ให้อภัยผู้อื่น..” -เจิงจิ้นเสียนเหวิน

(⌒˛⌒ )彡 “สูงส่งแต่ไม่เย่อหยิ่ง ชนะแต่ไม่ลำพอง ปราดเปรื่องแต่รู้จักลงเวที เข้มแข็งแต่มีความอดกลั้น” -ขงเบ้ง 

” ใช้จิตใจที่ชอบตำหนิผู้อื่น…มาตำหนิตัวเอง…..ใช้จิตใจที่ชอบให้อภัยตัวเอง…ให้อภัยผู้อื่น..” -เจิงจิ้นเสียนเหวิน

” ผู้ที่รู้จักคนอื่นเป็นคนฉลาด…..ผู้ที่รู้จักตัวเองเป็นคนมีสติ..” -เล่าจื้อ

” การตกระกำลำบากเป็นมหาวิทยาลัยชั้นสูงในการฝึกฝนยอดคน..!!” -เหลียงฉี่เชา

credit: พี่ผาสุก สุดหล่อใจดี


http://youtu.be/HPXDvqA3GVA (สาวๆรู้ไว้นะว่าchannelนี้ หนุ่มมองกันแทบทุกคน)


สวัสดีค่ะพี่แอสตั้น

ตอนนี้ตัวเองไม่มีความสุขเลยค่ะ
เลิกกับแฟนมานี่ผ่านมาเก้าเดือนแล้ว

ตอนแรกตั้งสติ เพื่อใช้ชีวิตต่อไปตามที่ได้อ่าน และมองตามจิตที่ไหลไป
แต่สองวันที่ผ่านมา พยายามแล้วก็เห็นว่า ในขณะที่จิตใจวกกลับไปคิดถึงแฟน ด้วยเหตุที่ไปดูรูปของเค้ากับแฟนใหม่ที่เฟสบุ้ค มันทำให้เรารู้ตัวเลยว่า
เราเองยังคาดหวังเพื่อรอให้เค้ากลับมา

เราทะเลาะกันเค้าบอกว่า เราไม่แคร์เค้า เลยห่างกันไปสองอาทิตย์
จนเค้าส่ง sms มาบอกว่า เราจะไม่ติดต่อกันอีก เค้ากลับไปคบกับแฟนเก่าแล้ว

เสียความรู้สึก เสียใจ มันปนไปกันหมด
เค้าควรพูดจาต่อหน้าไม่ใช่หนีหายไป แต่เราก็โอเค เมื่อเค้าไม่ จะไปอะไรก็ไม่ควร

แล้วเค้าคบกับอีกคนแล้ว จะเข้าไปถามไปเจอ
ผู้หญิงอีกคนก็คงเสียความรู้สึกเหมือนที่เราเสียไป จึงต่างคนต่างอยู่มา

มันก็นานแล้วนะคะ เกือบปีแต่มาตกม้าตายแค่เห็นและอ่านคำบรรยายใต้ภาพว่าเค้ารักกันแค่ไหน

สองวันนี้ใจหมองหมอง คิดวนแต่เรื่องที่ผ่านไปไม่อาจกลับมา
รู้ตัวว่าไม่อยู่กับปัจจุบันและไม่สามารถทำให้สภาพจิตใจตัวเองดีขึ้น
รู้สึกตัวเองต่ำต้อย ด้อยค่า น่าสมเพชยังไงไม่รู้

เราสวดมนต์ ฟังซีดีพระท่านมาสองคืน นอนไม่หลับและฟุ้งซ่านมาก
รู้ตัวว่าฟุ้งซ่าน พยายามตั้งสติทำงาน และบอกตัวเองเสมอว่า
เกือบปีที่ผ่านมาก็อยู่ได้ แต่จะมาเป็นตายอะไรแค่วันนี้ ตอนนี้ แต่ก็ไม่ได้ดีขึ้น ใจมันอยากหลุดก็ยิ่งจมค่ะพี่

พี่แนะนำหลักปฏิบัติได้ไหมคะ
ในมันอิจฉาริษยา น่าละอายมากที่เรารู้สึกแบบนี้

พี่แนะนำคนโง่เขลาด้วยได้ไหมคะ

ขอบคุณค่ะ

เวลาเราเจอทุกข์ เจอปัญหาถาโถมเข้ามา
เราอาจล้มได้บ้างเป็นธรรมดาครับ ไม่ใช่เรื่องโง่นักหนาหรอก

คนล้มเป็นเรื่องธรรมชาติ เพราะไม่ใช่ทุกคนจะทรงตัวได้ในทุกเวลา
แต่เวลาล้มแล้ว อย่าลงไปเกลือกกลิ้งตีอกชกหัว ให้ตั้งสติแล้วรีบลุกขึ้นยืน

อะไรที่แล้วไปแล้ว ก็ต้องให้มันแล้วไปนะครับ
ใครจะชั่วจะดีกับเรา มันก็เป็นได้แค่ความทรงจำ

พี่เคยเขียนบทนึงในธนาคารความสุข เล่มหนึ่ง บอกว่า

ใจคนเราเหมือนห้องเก็บของ
เราชอบเอาของที่ไม่ได้ใช้โยนเข้าไปเก็บ วันดีคืนดีก็รื้อออกมาปัดฝุ่น
แล้วก็โยนกลับเข้าไปเก็บใหม่ ทั้งที่ไม่ได้ใช้ประโยชน์อะไรจากมันหรอก

ชีวิตเรามีทุกข์บ้าง มีสุขบ้าง สลับกันไปมาแบบนี้แหละ
ไม่ว่าใครจะอยู่ ใครจะไป ใครจะทิ้งเรา เราจะทิ้งใคร
มันก็เป็นแค่กงเกวียน กำเกวียน ที่เวียนวนมาให้ผลบ้าง สร้างใหม่บ้าง

ชาติก่อนเคยไปทำกรรมชั่วไว้ ชาตินี้ก็กลายเป็นคนรับกรรมบ้าง

ทุกข์ที่เราต้องเจอ มันเป็นผลจากกรรมเก่านะ
แต่เราจะรับมือ จัดการอย่างไร อันนั้นเป็นเรื่องของกรรมใหม่

ถ้าอยากสร้างกรรมใหม่ที่พาเราพ้นจากทุกข์ได้
เริ่มจากอโหสิให้เขาไปนะครับ ถือว่าเราใช้กรรมหมดต่อกันแล้ว

ไม่ต้องไปโทษเขาว่าอย่างนั้น อย่างนี้
ไม่ต้องโทษตัวเอง ที่หาทุกข์ใส่ตัวด้วยความคิดฟุ้งซ่าน
ไม่ต้องโทษใคร แต่มีสติ รู้สึกตัวไว้

ที่บอกว่าให้นั่งดู ไม่ใช่ให้ไหลตามเรื่องที่คิดไปนะ แต่ให้รู้ทันใจว่าคิด
คนละอย่างนะครับ

ทุกข์ ก็รู้ว่าทุกข์ ยอมรับไม่ได้ ก็รู้ว่ายอมรับไม่ได้
อึดอัด รู้ว่าอึดอัด รู้เสมือนหนึ่งเราเป็นคนดู ดูจิตใจตัวเองมันทำงาน

ดูที่การดิ้นรน ดูความเป็นไป โดยไม่ไหลเข้าไปอยู่ในเรื่องที่คิด
แล้วจะเห็นว่า ทุกข์ ก็เป็นแค่ผลของกระบวนการคิด นึก ปรุงแต่งเท่านั้น

เรื่องดีๆ ก็เหมือนพระอาทิตย์ขึ้น เรื่องร้ายๆ ก็เหมือนพระอาทิตย์โดนเมฆฝนบดบัง
ทุกอย่างมันชั่วคราวเสมอกันนะครับ ไม่มีอะไรดีหรือแย่กว่าอะไรหรอก

ใจเราเองต่างหาก ที่ให้ค่าว่า แบบนี้เรียกว่าดี เพราะเราชอบ เราพอใจ
แบบนี้ เรียกว่าเลว เพราะเราไม่ชอบ เราไม่พอใจ

ไม่มีใครทำให้เราเสียใจได้หรอกครับ
มีแต่ใจเราที่ตีค่าการกระทำบางอย่าง แล้วเสียใจเอง

สมมติว่า เราเบื่อเขา อยากให้เขาไปให้พ้นๆ แล้วเขามาบอกเลิก
เราจะเสียใจแบบนี้ไหม ไม่หรอก.. ใช่ไหมครับ

เพราะฉะนั้น ที่เราเสียใจ ไม่ใช่เพราะเขาบอกเลิก ไม่ใช่เพราะเขาไปคบใคร
แต่เพราะเรายอมรับไม่ได้ต่างหาก เราอยากให้เขามาพูดต่อหน้า
เราอยากให้อย่างนั้น เราอยากให้อย่างนี้

ที่สุดแล้ว พระพุทธเจ้า ถึงบอกว่า ทุกข์ทั้งหลาย มันเริ่มที่ “เรา” นี่เอง

คุณพูดถูกเป๊ะอย่างนึงว่า ยิ่งอยากหลุด ก็ยิ่งจม
ถึงบอกให้ยอมรับ ยอมรับด้วยสตินะ
ไม่ใช่สุดโต่งว่า อ่อ..พี่ให้ยอมรับ งั้นก็ปล่อยให้ตัวเองจม

มีสตินะครับ หลายเดือนแล้ว เสียใจมาก็พอสมควร
ชีวิตนี้สั้นจะตาย จะหายใจทิ้งๆขว้างๆไปกับความทุกข์.. เพื่ออะไร?

ยิ้มไว้ แล้วมีสติ อยู่กับปัจจุบัน

ให้อดีตมันเป็นอดีตที่ล่วงไปแล้วน่ะดีแล้ว
อย่าไปเอามันมาเป็นอุปสรรคกีดขวางการมีชีวิตอย่างรู้คุณค่าในปัจจุบันเลย

มีสติ รู้ทัน ยอมรับ
เคยรัก เคยล้ม ก็ถึงเวลาต้องลุกนะครับ

credit http://bit.ly/dkgkte (ลอกเนื้อหา มาทั้งยวง:)


 Try to have a little fun each day…

 …it’s important

 Work together as a team

 Share a joke with friends

 Fall in love with someone…

 …and say “I love you” often

 Express yourself creatively

 Be conscious of your appearance

 Always be up for surprises

 Love someone with all of your heart

 Share with friends

 It will get better

 There is always someone who loves you more than you know

 Exercise to keep fit

 Live up to your name

 Hold on to good friends; they are few and far between!

Read the rest of this entry »